ปัญหา iPhone ไม่ชาร์จแบตเตอรี่เป็นปัญหาที่พบบ่อยในการใช้งาน หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่ความเสียหายที่รุนแรงขึ้น การวินิจฉัยสาเหตุและหาวิธีการแก้ไขที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ บทความนี้จะนำเสนอแนวทางการวินิจฉัยและแก้ไขปัญหา ซ่อม iPhone ไม่ชาร์จแบตเตอรี่ พร้อมทั้งราคาค่าซ่อมประกอบการตัดสินใจ
การวินิจฉัยปัญหา iPhone ไม่ชาร์จแบตเตอรี่
วิธีตรวจสอบว่าปัญหาเกิดจากแบตเตอรี่หรือพอร์ตชาร์จ
1 การทดสอบด้วยสายชาร์จและอะแดปเตอร์อื่น
วิธีง่ายๆ ในการตรวจสอบว่าปัญหาเกิดจากแบตเตอรี่หรือพอร์ตชาร์จคือ การทดสอบด้วยสายชาร์จและอะแดปเตอร์อื่น หากใช้อุปกรณ์ชาร์จชิ้นอื่นแล้วสามารถชาร์จได้ตามปกติ แสดงว่าปัญหาอยู่ที่สายชาร์จหรืออะแดปเตอร์เดิม แต่หากยังคงไม่สามารถชาร์จได้ ให้ดำเนินการตรวจสอบในขั้นตอนต่อไป
2 การตรวจสอบความเสียหายของพอร์ตชาร์จ
ตรวจสอบพอร์ตชาร์จว่ามีรอยชำรุดหรือมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่หรือไม่ โดยใช้แสงไฟส่องเพื่อสังเกตเศษผงหรือฝุ่นละอองภายในพอร์ต หากพบสิ่งแปลกปลอม ให้ใช้เครื่องมือที่เหมาะสม เช่น ปากคีบหรือหลอดดูดฝุ่นขนาดเล็กในการกำจัดออกอย่างระมัดระวัง
3 การใช้แอพทดสอบสถานะแบตเตอรี่
มีแอพพลิเคชันจากผู้พัฒนาภายนอกที่สามารถทดสอบสถานะแบตเตอรี่ของ iPhone ได้ เช่น Battery Life, iMazing DIAGVAULT เป็นต้น แอพเหล่านี้จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพแบตเตอรี่ ซึ่งจะบ่งบอกว่าแบตเตอรี่เสื่อมสภาพหรือไม่
การซ่อม iPhone ไม่ชาร์จแบตเตอรี่
การเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
1 ราคาค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ตามรุ่น iPhone
หากตรวจสอบแล้วพบว่าปัญหาเกิดจากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ การเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เป็นวิธีแก้ไขที่ดีที่สุด ราคาค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่โดยประมาณ ดังนี้
- iPhone 13 Series: 3,500 – 4,000 บาท
- iPhone 12 Series: 3,000 – 3,500 บาท
- iPhone 11 Series: 2,500 – 3,000 บาท
- iPhone X Series: 2,500 – 3,000 บาท
- iPhone 8/8 Plus: 2,000 – 2,500 บาท
- iPhone 7/7 Plus: 1,500 – 2,000 บาท
- iPhone 6s/6s Plus: 1,000 – 1,500 บาท
2 ข้อควรระวังในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ด้วยตนเอง
แม้จะมีวิดีโอสอนการเปลี่ยนแบตเตอรี่ด้วยตนเองบนอินเทอร์เน็ต แต่ไม่ควรลองทำเอง เนื่องจากอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชิ้นส่วนอื่นๆ ของ iPhone ได้ หากไม่มีความชำนาญเพียงพอ ดังนั้น จึงควร ซ่อม iphone กับช่างผู้เชี่ยวชาญหรือศูนย์บริการที่ได้รับอนุญาตจากทางบริษัท
การซ่อมพอร์ตชาร์จ
1 ราคาค่าซ่อมพอร์ตชาร์จตามรุ่น iPhone
หากตรวจสอบแล้วพบว่าปัญหาเกิดจากพอร์ตชาร์จชำรุด จำเป็นต้องซ่อมแซมหรือเปลี่ยนพอร์ตชาร์จใหม่ ราคาโดยประมาณ ดังนี้
- iPhone 15 Series: 4,500 – 9,500 บาท
- iPhone 14 Series:3,500 – 6,500 บาท
- iPhone 13 Series: 2,500 – 4,500 บาท
- iPhone 12 Series: 2,000 – 3,000 บาท
- iPhone 11 Series: 1,800 – 2,500 บาท
- iPhone X Series: 1,800 – 2,500 บาท
- iPhone 8/8 Plus: 1,500 – 2,000 บาท
- iPhone 7/7 Plus: 1,200 – 1,800 บาท
- iPhone 6s/6s Plus: 1,000 – 1,500 บาท
2 ความจำเป็นในการซ่อมโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ
การซ่อมพอร์ตชาร์จเป็นงานที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อน จำเป็นต้องใช้เครื่องมือและอุปกรณ์พิเศษ รวมถึงความชำนาญในการถอดประกอบ ดังนั้น จึงควรนำไปซ่อมกับช่างผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การซ่อมแซมด้วยตนเองอาจทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้น
การแก้ไขปัญหาซอฟต์แวร์ที่ทำให้ iPhone ไม่ชาร์จแบตเตอรี่
6. การอัปเดตซอฟต์แวร์ iOS ล่าสุด
ในบางครั้ง ปัญหา iPhone ไม่ชาร์จแบตเตอรี่อาจเกิดจากข้อบกพร่องของซอฟต์แวร์ iOS การอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดจะช่วยแก้ไขจุดบกพร่องดังกล่าว ตลอดจนปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของ iPhone
7. การรีเซ็ตการตั้งค่าทั้งหมด
การรีเซ็ตการตั้งค่าทั้งหมด (Reset All Settings) จะคืนค่าการตั้งค่าต่างๆ ของ iPhone กลับไปสู่ค่าเริ่มต้นจากโรงงาน ซึ่งอาจช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการตั้งค่าผิดพลาด วิธีทำคือ ไปที่ Settings > General > Transfer or Reset iPhone > Reset > Reset All Settings
8. การลบแอปพลิเคชันที่อาจก่อปัญหา
บางครั้งแอปพลิเคชันบางตัวอาจเป็นสาเหตุของปัญหา iPhone ไม่ชาร์จแบตเตอรี่ได้ ลองกำจัดแอปพลิเคชันที่คุณไม่ได้ใช้งานบ่อยออกไปก่อน แล้วสังเกตการณ์ว่าปัญหายังคงอยู่หรือไม่
9. การคืนค่าการตั้งค่าจากโรงงาน
หากวิธีอื่นๆ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ให้ลองคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมดของ iPhone กลับไปสู่ค่าเริ่มต้นจากโรงงาน (Factory Reset) โดยไปที่ Settings > General > Transfer or Reset iPhone > Erase All Content and Settings การดำเนินการนี้จะลบข้อมูลทั้งหมดออกจาก iPhone ดังนั้นจึงควรสำรองข้อมูลไว้ก่อนดำเนินการ
การป้องกันปัญหา iPhone ไม่ชาร์จแบตเตอรี่
10. การใช้อุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ที่ได้รับการรับรอง
ควรใช้สายชาร์จและอะแดปเตอร์ชาร์จที่ได้รับการรับรองจาก Apple เท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหาการชาร์จและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับ iPhone
11. การหลีกเลี่ยงการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ร้อนหรือเย็นจัด
อุณหภูมิที่ร้อนหรือเย็นเกินไปอาจส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้งาน iPhone ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงหรือต่ำมากเกินไป
12. การปิดแอปพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อประหยัดแบตเตอรี่
แอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลังจะสิ้นเปลืองแบตเตอรี่ ดังนั้นควรปิดแอปพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อประหยัดแบตเตอรี่และยืดอายุการใช้งาน
13. การตั้งค่าโหมดประหยัดแบตเตอรี่
iPhone มีโหมดประหยัดแบตเตอรี่ที่ช่วยลดการใช้พลังงานโดยการปิดบางฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น การเปิดใช้งานโหมดนี้จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อย่างมาก
สรุปการซ่อม iPhone ไม่ชาร์จแบตเตอรี่
ปัญหา iPhone ไม่ชาร์จแบตเตอรี่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากสายชาร์จ พอร์ตชาร์จ ซอฟต์แวร์ หรือแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ การแก้ไขปัญหาจึงต้องพิจารณาจากสาเหตุที่แท้จริงก่อน โดยมีทั้งวิธีการแก้ไขด้วยตนเองและการส่งซ่อมที่ศูนย์บริการ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายแตกต่างกันไปตามรายละเอียดของปัญหา
ที่สำคัญ การดูแลรักษาอุปกรณ์อย่างถูกวิธีและเหมาะสม รวมถึงการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ เพื่อให้สามารถใช้งาน iPhone ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น









